ทำไมจึงเป็นกุศโลบาย
- คำนำ ของท่าน พลตรี หลวงวิจิตรวาทการ -


Henry Ford

วันหนึ่งในตอนกลางปี พ.ศ. 2478
ข้าพเจ้ากำลังอยู่ในห้องทำงาน ที่หอสมุดแห่งชาติ กรมศิลปากร นายแพทย์มีชื่อเสียงคนหนึ่งมาหาข้าพเจ้า บอกว่ามีของดีมาให้ดู ทันใดนั้นความคิดของข้าพเจ้าก็แล่นไปถึงของโบราณศิลปวัตถุชิ้นงาม หรือเอกสารสำคัญอะไรสักอันหนึ่ง แต่ยังไม่ทันจะถามว่าเป็นอะไร นายแพทย์ผู้นั้นก็ยื่นหนังสือเล่มหนึ่งให้ข้าพเจ้า ที่ปกหนังสือมีรูปคนสำคัญๆ ของสหปาลีรัฐอเมริกา เช่น
เฮนรี ฟอร์ด, รอค เฟลเลอร์, ประธานาธีบดีคูลิดซ์
และประธานาธิบดี รูสเวลท์
ชื่อของหนังสือเล่มนี้พิมพ์ด้วยอักษรตัวโต ซึ่งพอเหลือบเห็นก็อ่านได้ความว่า

"Strategy in Handling People"


ประธานาธิบดี คูลิดซ์

แน่นอนทีเดียว หนังสือเล่มนี้ ต้องเป็นของดีดังที่นายแพทย์ผู้นั้นกล่าว หรืออย่างน้อยก็จะต้องมีอะไรดีอยู่บ้าง เพียงแต่เห็นชื่อก็ทำให้สนใจ

พอมีเวลาว่าง ข้าพเจ้าก็อ่านโดยพินิจพิเคราะห์

หนังสือเล่มนี้มีข้อความราว 250 หน้า แบ่งเป็น 27 บท บทหนึ่งๆ ไม่ถึง 10 หน้า จึงเป็นบทสั้นๆ อ่านไม่เบื่อ มีชื่อผู้เรียบเรียง 2 คน คือ
Ewing T.Webb
กับ
John Morgan

ข้อความที่เรียบเรียง ต้องยอมรับว่า ดีจริง ผู้เขียนต้องใช้เวลาเตรียมนานปี จึงรวบรวมของดีๆ มาไว้ในหนังสือเล่มเดียวนี้ไว้

ถ้าใครอ่านด้วยความตั้งใจเพียงวันละบทเดียว ก็จะได้ความรู้ในสิ่งซึ่งไม่เคยนึกมาแต่ก่อนเป็นอันมาก และถ้าใครปฏิบัติตามได้ทุกข้อ ก็สามารถจะเป็นคนสำคัญได้คนหนึ่งทีเดียว

ข้าพเจ้าอ่านหนังสือเล่มนี้ทบทวนหลายครั้ง และทุกๆครั้งที่อ่านจบ ก็เกิดความคิดที่จะทำหนังสือนี้ขึ้น เป็นภาษาไทยบ้าง

ปัญหาจึงมีว่าจะทำอย่างไรจึงจะดี?

ถึงแม้หนังสือเล่มนี้จะพิมพ์ในอเมริกา ซึ่งเราสามารถจะแปลออกมา โดยมิต้องเกรงใจใครในเรื่องลิขสิทธิ์

การแปลหนังสือไม่ใช่งานที่ข้าพเจ้าชอบ เมื่อจับแปลหนังสือเข้าครั้งใด ก็รู้สึกว่าทำได้ช้า และเหน็ดเหนื่อยเกินกว่าที่จะทำให้สำเร็จเป็นเล่มได้

ข้าพเจ้าจึงตกลงว่าจะเขียนใหม่ อาศัยข้อเท็จจริงจากหนังสือเล่มนี้ และลองค้นคว้าคำบรรยายของคนอื่นมาประกอบ เช่น ของ ซามูเอล สไมล์ ซึ่งข้าพเจ้านับถือเป็นอาจารย์มานานแล้ว และเพิ่มความคิดเห็นของข้าพเจ้าลงไปบ้าง ทำเช่นนี้บางทีจะสำเร็จ ข้าพเจ้าจึงได้ตกลงทำ ดังที่เป็นอยู่ในหนังสือที่ท่านกำลังอ่านนี้

ปัญหาที่มีต่อมา คือว่า หนังสือที่ข้าพเจ้าเขียนขึ้นนี้ จะควรให้ชื่อว่ากระไร?

ชื่อหนังสือเดิมคือ Strategy in Handling People นั้น ถ้าแปลตามตรงๆ ก็คือ "อุบายใช้คน" หรือ "อุบายสำหรับเอาคนไว้ในกำมือ"

ข้าพเจ้าไม่สมัครจะใช้ชื่อหนังสือของข้าพเจ้าอย่างนี้ เพราะดูเป็นการห้าวหาญ รุนแรง และทำให้เกิดความเข้าใจผิด คิดว่าหนังสือเล่มนี้ เป็นเครื่องมือสำหรับแสวงหาประโยชน์ส่วนตัว

ความมุ่งหมายอันแท้จริงของหนังสือ Strategy in Handling People นี้มีเพียงอยู่ว่า

ในสมัยปัจจุบันนี้ ไม่มีใครจะสามารถทำอะไรสำเร็จได้โดยลำพังตนผู้เดียว มนุษย์ต้องอาศัยความร่วมมือร่วมใจของกันและกัน งานอันใดมีผู้เห็นชอบและช่วยเหลือมาก งานอันนั้นก็มีทางสำเร็จได้มาก

อีกประการหนึ่งเล่า... การประกอบความดีนั้น ไม่ใช่จะเป็นที่พอใจของคนทุกคน เมื่อมีคนชอบก็ย่อมมีคนชัง

ในสมัยโบราณเขาใช้อำนาจบังคับกัน แต่ในสมัยนี้มนุษย์ต่างรู้จักสิทธิหน้าที่ของตัว การบังคับด้วยอำนาจก็ทำยากกว่าแต่ก่อน และใครจะใช้อำนาจบังคับคนมากๆ ได้ จำต้องสร้างอำนาจบารมี

ในสมัยนี้ ต้องอาศัยความร่วมมือร่วมใจของคนมากคน ไม่เหมือนในกาลดึกดำบรรพ์ ซึ่งใครมีกำลังกายแข็งแรงที่สุด ก็ตั้งตนเป็นหัวหน้าคนได้

ผู้แต่งหนังสือ Strategy in Handling People มีความเห็นว่า การที่จะทำให้ศัตรูกลับมาเป็นมิตรก็ดี หรือการที่จะเอาคนทั้งประเทศ ไว้ในกำมือของตนได้ก็ดี อาจสำเร็จได้ด้วย "อุบาย" คำว่าอุบายในที่นี้ ไม่ได้หมายถึงวิธีหลอกลวง แต่หมายถึงความฉลาดในการพูด

การทำด้วยความสุจริตซึ่งถ้าใช้เหมาะแก่กาละเทศะแล้ว อาจเป็นผลสำเร็จยิ่งกว่าอำนาจและดีกว่าอำนาจ เพราะอำนาจเป็นบ่อเกิดแห่งความเบื่อหน่ายเกลียดชัง แต่ "อุบาย" เป็นเครื่องมือทำให้คนพอใจ

อีกประการหนึ่ง อำนาจ นั้นไม่ใช่สิ่งที่จะหาได้ง่ายๆ แต่อุบายอาจหยิบขึ้นมาใช้ได้ทันที

อำนาจจะใช้ได้เฉพาะผู้ที่มีอำนาจในทางใดทางหนึ่งอยู่แล้ว แต่อุบายนั้น แม้คนเข็ญใจไร้ทรัพย์ปราศจากฐานันดรก็อาจใช้ได้ เมื่อผู้เขียนเรื่อง Strategy in Handling People มีความเห็นดังนี้ จึงได้เขียนบรรยายหลายสิบประการ ไว้ในหนังสือของเขา

การเขียนบรรยายอุบายต่างๆ นี้ ผู้เขียนไม่ได้เขียนด้วยความนึกฝันเลื่อนลอย หรือคิดอุบายเอาเอง

ผู้เขียนได้พยายามสืบเสาะค้นคว้าอุบายต่างๆ ที่เคยใช้กันสำเร็จจริงๆ แล้วมารวบรวมไว้

ข้าพเจ้าขอกล่าวซ้ำว่าอุบายเหล่านี้ไม่ใช่อุบายทุจริต ทั้งหมดล้วนเป็นอุบายที่ดี เมื่อได้พิจารณาข้อความในหนังสือ
Strategy in Handling People
ประกอบกับลักษณะของหนังสือที่ข้าพเจ้าเรียบเรียงขึ้นนี้ และไตร่ตรองโดยรอบคอบแล้ว ข้าพเจ้าก็ตกลงใจให้ชื่อ หนังสือ ของข้าพเจ้าเล่มนี้ว่า
"กุศโลบาย" (กุศล + อุบาย)

ตำแหน่งราชการในอดีต ของท่านผู้ประพันธ์
  • เลขานุการสถานทูตไทยกรุงปารีสและกรุงลอนดอน
  • รัฐมนตรีและอธิบดีกรมศิลปากร เลขาธิการราชบัณฑิตยสถาน
  • รัฐมนตรีสั่งราชการกระทรวงศึกษาธิการ
  • รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ
  • เอกอัครราชทูตประจำประเทศญี่ปุ่น, อินเดีย, สวิสเซอร์แลนด์, ออสเตรีย, ยูโกสลาเวีย
  • รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง
  • รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเศรษฐการ
  • รองผู้อำนวยการฝ่ายพลเรือน ในกองบัญชาการคณะปฏิวัต
  • ปลัดบัญชาการสำนักนายกรัฐมนตรี สมาชิกสถาร่างรัฐธรรมนูญ กรรมการสภาพัฒนาการเศรษฐกิจแห่งชาติ กรรมการบริหารสภาการศึกษา ประธานคณะที่ปรึกษาองค์การของรัฐ
  • กรรมการสภาวิจัยแห่งชาติ เลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ กรรมการสภามหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เกษตรศาสตร์ แพทย์ศาสตร์ ศิลปากร และจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
  • ผู้สั่งและปฏิบัติราชการแทนนายกรัฐมนตรี ในส่วนราชการที่ได้รับมอบหมาย
  • Back HOME