01.อย.เพิ่มยาประจำบ้าน
14 ชนิด
อย.ประกาศใไม่
เพิ่มยาสามัญประจำบ้านอีก 14 ชนิด
จากเดิมมี 42 รายการ เป็น 53 รายการ
เพื่อให้ครอบคลุม และเหมาะสมกับ
โรคภัยไข้เจ็บที่พบบ่อยๆ
ได้มากขึ้น อีกทั้งมีราคาถูก
หาซื้อง่าย
นพ.มงคลล ณ
สงขลา
เลขาธิการคณะกรรมการอาหารและยา
(อย.) เปิดเผยว่า กระทรวงสาธารณสุข
ได้ประกาศปรับปรุงยาสามัญ
ประจำบ้าน
เพิ่มเติมจากเดิมที่มีอยู่ 42
รายการ เป็น 53 รายการโดยมี
รายการเดียวกับยา
ที่มีรายชื่อแล้วในฉบับเดิม 39
รายการ
และมีรายการยาเพิ่มเติมจากเดิมอีก
14 รายการ
รวมถึงการยกเลิกรายการยาจากฉบับเดิมจำนวน
3 รายการ
เนื่องจากเป็นยาที่ไม่คงตัว
ไม่นิยมใช้ และไม่มี
ความจำเป็นต้องใช้
สามารถใช้ยาอื่นทดแทนได้
ตามประกาศฉบับใหม่
ฉลากยาสามัญประจำบ้าน
ต้องแสดงชื่อยา
ตามที่ระบุในประกาศ
กรณีมีชื่อการค้า ต้อง
แสดงชื่อตามประกาศควบคู่กับ
ชื่อทางการค้าด้วย มีคำว่า
"ยาสามัญประจำบ้าน"
ในกรอบสีเขียวแสดง ตัวอักษร
อ่านได้ชัดเจน
รวมทั้งต้องแสดงคำว่า
"ยาสิ้นอายุ" และแสดง วันเดือน
ปี พ.ศ.ที่ยาหมดอายุอีกด้วย
ที่สำคัญ ชื่อผู้รับอุญาตผลิต
นำเข้า
หรือสั่งเข้ามาในราชอาณาจักร
โดยยาสามัญประจำบ้านที่ได้ขึ้นทะเบียนไว้
ก่อนที่จะประกาศใช้บังคับ
ให้ถือว่าเป็นยาสามัญประจำบ้านต่อไปได้
ภายใน 180 วัน
นับตั้งแต่ประกาศฉบับนี้
มีผลบังคับใช้
หรือมีผลตั้งแต่วันที่ 14 พฤษภาคม
2542 เป็นต้นไป
02.ยาอีทำลายสมองได้อย่างถาวร
นักวิจัยของมหาวิทยาลัย
จอห์น ฮอปกิ้นส์ สหรัฐ เปิดเผยว่า
เอกฃ์ตาซี หรือที่เรียกกันว่า
ยาอี และเป็นที่นิยม
ในหมู่นักท่องเที่ยวกลางคืน
มีฤทธิ์ทำลายสมองอย่างถาวร
โดยจากการทดลองกับลิง แม้ในเวลา
เพียง 4 วัน เท่านั้น
นักวิจัยพบว่า
สมองของลิงได้รับความเสียหาย
และไม่สามารถทำให้กลับคืนมาเหมือนเดิมได้
แม้เวลา ผ่านไป 6-7 ปี
ในขณะที่มนุษย์นั้น
อาจมีความเสี่ยงถึงขั้นเสียหายถาวร
ทำลายทั้งระบบการเรียนรู้
และความจำ
นักวิจัยกล่าวว่า
ยาอีมีฤทธิ์กระตุ้นทำให้ผุ้เสพ
รุ้สึกเคลิบเคลิ้ม และเป็นสุข
แต่ขณะเดียวกัน มีฤทธิ์ร้ายแรง
ถึงชีวิต
โดยบางรายอาจเสียชีวิตได้ทันที
หลังเสพ
ยาอีจะมีผลต่อเชอดรโทนิน
ซึ่งเป็นสารเคมีสำคัญในสมอง
มีส่วน สัมพันธ์
กับอารมณ์ความรู้สึก
นักวิจัยได้ทำการทดลองยาอีกับลิง
วันละ 2 ครั้ง เป็นเวลา 4 วัน
จากนั้น สองสัปดาห์ต่อมา
ผ่าสมองของลิงดูพบว่า
ความเสียหายที่เกิดขึ้นในสมองส่วนใหญ่
ไม่สามารถ แก้ไขให้กลับ คืนมาได้
ยกเว้นในบางส่วน
03. ขาดวิตามินเอ
อันตรายกระจกตาขุ่นถึงตาบอด
กรมอนามัย
ชี้การขาดวิตามินเอ
อาจทำให้กระจกตาเป็นแผลและขุ่น
และอาจถึงตาบอดได้ ในที่สุด
ระบุก่อนหน้านี้ พบเด็กไทยใน 5
จังหวัดภาคใต้มีปัญหากระจกตา
จนเองค์การอนามัยโลก
จัดเป็นปัญหา สาธารณสุข
แต่ในปัจจุบันสถานการณ์ดีขึ้น
หลังการเฝ้าระวังต่อเนื่อง
แพทย์หญิงแสงโสม
ลีนะวัฒน์
ผู้อำนวยการกองโภชนาการ
กรมอนามัย กล่าวว่า รัฐบาลไทย
มีข้อตกลง
ร่วมกับองค์การยูนิเซฟในการดำเนินงาน
ควบคุม
และป้องกันโรคขาดวิตามินเอ
โดยกำหนด เป้าหมาย
ขจัดโรคขาดวิตามินเอ
ชนิดที่แสดงออาการทางตา
ในพื้นที่จังหวัดภาคใต้ตอนล่าง
ให้หมดไปในปี 2538
โดยได้ดำเนินงานอย่างต่อเนื่องจนถึงปัจจุบัน
มาตรการหลัก ในการดำเนินงาน
ได้แก่ แจกจ่ายยาเม็ดวิตามินเอ
การเติมวิตามินเอ
ในนมข้นหวานทุกยี่ห้อ
และส่งเสริมการบริโภคอาหารที่มีวิตามินเอ
เนื่องจากพบเด็ก อายุ ระหว่าง 3-15
เดือน มีการผิดปกติของกระจกตา
เนื่องจากขาดวิตามินเอ
โดยเด็กดังกล่าว ไม่ได้กินนมแม่
แต่ได้รับการเลี้ยงดูด้วย
นมข้นหวาน
ซึ่งในขณะนั้นไม่ได้เติมวิตามินเอ
รวมทั้งไม่ได้ รับอาหาร ตามวัย
ที่เหมาะสม
จากการเฝ้าระวังพบว่า
ในพื้นที่เป้าหมาย 5
จังหวัดภาคใต้ตอนล่าง
ขณะนี้ไม่มี เด็กรายใหม่
ที่ขาดวิตามินเอ
ในระดับแสดงอกการทางสายตา
พร้อมกันนี้เอง โภชนาการ
ได้ดำเนินการ พัฒนา แบบประเมิน
ภาวะวิตามินเอ ของชุมชน
เพื่อนำมาใช้ในการเฝ้าระวัง
การเกิดโรคขาดวิตามินเอ ในอนาคต
จะได้พัฒนาเป็น
ระบบการเฝ้าระวัง ระดับชาติ
ต่อไป ขณะที่องค์การอนามัยโลก
ได้จัดให้ประเทศไทย
เป็นกลุ่มประเทศ ของ
โรคขาดวิตามินเอ
ชนิดไม่แสดงอาการ
ทางคลินิกขั้นปานกลาง
จากเดิมในปี 2535 ตรวจพบนักเรียน 5
จังหวัด ภาคใต้ตอนล่าง
มีอาการกระจกตาเป็นแผล และกระจก
ตาขุ่นเหลว
ร้อยละ 0.87 และ 0.43 ตามลำดับ
ซึ่งเกณฑ์ขององค์การอนามัยโลก
ได้กำหนดว่า
อุบัติการณ์ของแผลเป็นที่กระจกตา
และกระจกดำขุ่นเหลว
มากว่าร้อยละ 0.05 และ 0.01 ตามลำดับ
ให้จัดว่า ชุมชนนั้น
มีปัญหาโรคขาดสารวิตามินเอ
เป็นปัญหา สาธารณสุข
โรคขาดวิตามินเอ
เกิดจากร่างกายได้รับวิตามินเอจากอาหารไม่เพียงพอ
ทำให้เกิดอกการทางตาที่เรียกว่า
ซีรอฟทาลเมีย โดยในระยะแรก
มีอาการตาบอดกลางคืน
เยื่บุตาขาวแห้ง ตาเป็นแผล
กระจกตาขุ่นเหลว
และตาบอดในที่สุด
หากการขาดวิตามินเอ
มีความรุนแรงเพิ่มขึ้น
และไม่ได้รับการรักษาอย่างรีบด่วน
1.เตือนคอเบียร์ระวังเป็นภูมิแพ้
คณะวิจัยสปนรายงานว่า
บางคน
อาจเกิดอาการโรคภูมิแพ้ได้
หลังจากดื่มเบียร์เข้าไป
รวมทั้งอาจทำให้ ลำคอ บวมโต
หายใจลำบาก และมีอาการชาตามปาก
และริมฝีปาก
นักวิจัยได้ยกตัวอย่างผู้ป่วยรายหนึ่ง
ที่มีอายุ 20 ปี
เคยมีอาการบวมที่ลิ้นและเป็นลมพิษ
และเป็นลม ราว 20 นาที
หลังจากดื่มเบียร์เข้าไป
ซี่งเป็นอาการของโรค ภูมิแพ้
เช่นเดียวกับการรับประทานถั่ว
หรือสัตว์น้ำ จำพวกหอย กุ้ง ปู
ดร.ซิลเวีย
เฟอร์นานเดซ อายานา
และคณะนักวิจัยโรงพยาบาล
แห่งหนึ่งในกรุงแมดริด
ประเทศสเปน กล่าวว่า
อาการภูมิแพ้เมื่อดื่มเบียร์เข้าไปพบไม่บ่อยนัก
ซึ่งส่วนประกอบในเบียร์
มักเป็นสาเหตุ
ให้เกิดอาการแพ้ดังกล่าว
ซึ่งผลการวิจัยผู้ป่วย 3 คน
ได้บ่งชี้ว่า
ส่วนประกอบของเบียร์
ได้ทำปฏิกิริยา หรือการทดลอง
ที่ผิวหนังจาก เบียร์
และข้าวบาร์เลย์
ผลมีปฏิกิริยาตอบสนอง
บางคนมีอาการแพ้ที่รุนแรงด้วย
2.เตือนใช้กวาวเครือไม่ถูกวิธี
อาจถึงชิวิต
รศ.ยุทธนา สมิตะสิริ
อาจารย์ประจำภาควิชาชีววิทยา
คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัย
แม่ฟ้าหลวง เปิดเผยว่า
จากกระแสที่ประชาชนให้ความสนใจ
เกี่ยวกับสรรพคุณ
ของกวาวเครือว่า
จะสามารถทำให้หน้าอก
มีขนาดใหญ่ขึ้น
จากการทำวิจัยในสัตว์หลายชนิดที่เคยทดลอง
อาทิ หนู แพะ สุกร
ซึ่งเป็นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม
และใกล้เคียงกับคน พบว่า
กวาวเครือขาว
สามารถทำให้เต้านมของสัตว์เหล่านี้มีขนาดใหญ่ขึ้นได้จริง
เพราะ กวาวเครือ
มีฮอร์โมนเอสโตรเจน
ซึ่งเป็นฮอร์โมนเพศหญิง
และกวาวเครือ
สามารถเพิ่มฮอร์โมน ในเพศหญิง
ให้มากขึ้น หากนำไปใช้ในเพศชาย
อาจทำให้เป็นหมันได้
แต่หากนำไปใช้ ในเพศหญิง
จะเพิ่มฮอร์โมน ให้ มากขึ้น
และส่วนใหญ่จะใช้ได้ผลดีในสตรี
ที่มีวัยสูงอายุ หรือวัยชรา
ซึ่งเป็นวัยหมด ประจำเดือน
หรือใกล้ หมด ประจำเดือนไปแล้ว
อย่างไรก็ตาม
หากใช้ในคนวัยหนุ่มสาว
อาจไปเพิ่มออร์โมน เพศหญิง
เกินความ ต้องการของร่างกาย
อาจทำให้มีอาการ
คลื่นเหียนอาเจียนส่งผลต่อ
เยื่อบุมดลูก และอาจ
ทำให้เกิดการ แท้งลูก ได้
ซึ่งต้องกินในปริมาณที่น้อย
ตามสูตรตำรา โบราณที่ระบุเอาไว้
ถ้ากินในปริมาณที่มาก
อาจจะทำให้ถึงชิวต
รศ.ยุทธนา
กล่าวว่า
ที่มีผลิตภัณฑ์เกี่ยวกับกวาวเครือออกสู่ตลาด
อยากเตือนประชาชนใช้วิจารณญาณ
ในการ ใช้ยาดังกล่าว
เพราะจะทำให้เกิดผลเสีย
เป็นอันตรายต่อร่างกาย
ดังที่กล่าวมาแล้ว
หากจะใช้ควรใช้ใน ปริมาณ ที่น้อย
และในระยะเวลา ที่ไม่นานนัก
คือใช้แต่พอดี
3.พบ
12 สมุนไพร
สร้างภูมิคุ้มกันต้านเอดส์
นักวิจัยมหิดล
เผยถึงความคืบหน้า
ในการศึกษาสมุนไพรรักษาโรคเอดส์
ว่า ขณะนี้ ได้ค้นพบว่า มีสมุนไพร
12
ชนิดที่สามารถกระตุ้นภูมิคุ้มกันของร่างกาย
และมีฤทธิ์ต้านทาน
เชื้อฉวยโอกาส
และยังรักษาอาการข้างเคียง
อื่นๆได้ ซึ่งสมุนไพรทั้ง 12
ชนิดคือ มะระขี้นก กระเทียม
ขมิ้นชัน มังคุด ว่านหางจระเข้
เห็ดหลินจือ พลูคาว ฟ้าทลายโจร
ต้นกระทิง ขันทองพยาบาท
กลึงกล่อม และลูกเต้าใบ
ซึ่งแต่ละตัวจะมีสรรพคุณต่างกัน
บางชนิดมี
ฤทธิ์ยับยั้งการติดเชื้อ
และยับยั้งการแพร่กระจายไวรัสในเซลส์
อย่างไรก็ตาม
ผลการศึกษาดังกล่าว
เป็นงานวิจัยในหลอดทดลองเท่านั้น
ยังไม่ได้นำมาใช้ทดลองกับคนไข้จริง
แต่หากจะนำมาใช้จริง
ก็น่าจะใช้ในรูปสมุนไพรเสริมสุขภาพ
ที่ยังไม่ได้แปรรูปมากกว่า
ผลิตวัคซีนโรคเอดส์ใกล้สำเร็จ
นักวิจัยของสถาบันโรคภูมิแพ้
และโรคติดเชื้อแห่งชาติของอเมริกา
เปิดเผยว่า ขณะนี้มีการคิดค้น
วัคซีน โรคเอดส์ขึ้นมากว่า 60
ขนานแล้ว
และที่ก้าวหน้าถึงขั้นทดลองกับมนุษย์นั้นมีถึง
2 ขนาน แต่อย่างไรก็ดี
นักวิจัยก็กล่าวเสริมว่า
แม้วัคซีนจะเป็นหนทางสำคัญ
แต่การป้องกันตนหลีกเลี่ยงโรคก็ยังสำคัญกว่า
โดย
เฉพาะในขณะนี้ที่วัคซีนยังผลิตไม่สำเร็จ
4.น้ำลายมนุษย์รักษาแผลได้
นิตยสารเปิดโลกวิทยาศาสตร์ซึ่งจัดทำโดยสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์
และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.)
ฉบับล่าสุด ระบุว่า เมื่อเร็วๆ
นี้ นายเดวิด เบนจามิน
นักวิทยาศาสตร์ชาวอังกฤษ
ซึ่งเป็นผู้ที่ตั้งข้อสงสัยว่า
สัญชาตญาณการเลียแผลของสุนัขนั้น
คงจะมีเหตุผลบางอย่างอยู่
น้ำลายสุนัขอาจจะ
ช่วยหยุดยั้งฤทธิ์ ของ
แบคทีเรียในบาดแผลได้
เพราะฉะนั้นในน้ำลายของคน
ก็อาจจะมีสารบางอย่าง
ที่ให้ผลเช่นเดียวกัน หลังจาก
ค้นคว้ามาระยะหนึ่ง ขณะนี้
นายเบนจามิน พบแล้วว่า
ในลิ้นของมนุษย์มีแบคทีเรีย
ที่ไม่เป็นอันตราย ต่อร่างกาย
อยู่ชนิดหนึ่ง แบคทีเรียตัวนี้
จะไปเปลี่ยนสารประกอบในเตรต
ซึ่งอยู่ในน้ำลาย ให้เป็นไนไตรต
(NITRITE) ซึ่งจะทำปฏิกิริยา
กับกรดอ่อนๆ ที่ผิวหนัง
มีฤทธิ์ยับยั้งแบคทีเรียบางชนิดด้วย
น้ำลายคน จึงมีฤทธิ์รักษาแผลได้
ชนิดหนึ่ง
นายเท็ด
เทร็ดเก็ต
ผู้เชี่ยวชาญด้านแผลไฟไหม้ของมหาวิทยาลัยอันเบอร์ต้า
ประเทศแคนาดา กล่าวว่า การที่
น้ำลายช่วยรักษาแผลได้
อาจจะเกิดจากปัจจัยอื่นๆ
ด้วยเช่นกัน มีเซลล์ภูมิคุ้มกัน
อยู่ในน้ำลาย มีฮอร์โมนบางตัว
ช่วยรักษาแผลให้เร็วขึ้น
โดยไปกระตุ้นการเจริญเติบโตของผิวหนัง
เป็นการซ่อมแซม ร่างกายส่วนที่
สึกหรอ
ถ้าร่างกายปราศจากสารปฏิชีวนะ
หรือยาฆ่าเชื้อ
การเลียก็เป็นอีกวิธีการทำความสะอาด
และรักษาแผล ที่แก้ขัด
ได้วิธีหนึ่ง
5.แดด
- บุหรี่ ทำผิวหนังเสื่อมสภาพ
แพทย์ประจำหน่วยผิวหนัง
กล่าวว่า
เหตุที่ทำให้ผิวหนังเสื่อมสภาพที่สำคัญคือ
- เสื่อมตามวัย
ขึ้นกับปัจจัยทางพันธุกรรมปัจจุบันยังไม่มีการรักษา
และการป้องกันที่ได้ผลดี
การเสื่อมเนื่องจากอิทธิพลของสิ่งแวดล้อม
ส่วนปัจจัยหลักที่ทำให้ผิวหนังเสื่อมสภาพ
คือ แสงอัลตราไวโอเลต
ซึ่งพบในแสงแดด รวมทั้งบุหรี่
ทั้งนี้มีการจัดลำดับการชราภาพของผิวหนังไว้
4 ระดับ คือ
ระดับที่
1 พบได้ช่วงอายุ 20-30 ปี
จะพบรอยย่น
และความผิดปกติของสีผิวเล็กน้อย |
ระดับที่ 2
อายุ 30-40 กว่าปี
พบว่าผิวหนังจะตกกระมากขึ้น
มีกระเนื้อเล็กน้อย พบรอยย่นที่
ข้างมุมปาก
โดยเฉพาะเมื่อแสดงสีหน้า |
ระดับที่
3 อายุตั้งแต่ 50 ปีขึ้นไป
พบกระเนื้อมากขึ้นจนเห็นได้ชัด
รอยย่นปรากฎตลอดเวลา
แม้ไม่ได้แสดงสีหน้าดีใจ เสียใจ |
ระดับที่
4 พบในคนอายุ 60-70 ปีขึ้นไป
ระยะนี้
ผิวหนังมีสีเหลืองจากการเสื่อมสภาพของ
เส้นใยผิวหนัง
พบรอยย่นทั่วใบหน้า
และอาจมีเนื้องอก
หรือมะเร็งผิวหนังเกิดขึ้นได้เช่นกัน |
6.กินมังสวิรัติ
-
ดื่มเหล้านานๆมีสิทธิ์สมองเสื่อม
แพทย์ด้านสมองชี้
ผู้ที่ดื่มเหล้า
หรือกินอาหารมังสวิรัตินานๆ 10
ปีขึ้นไป
มีสิทธิ์เป็นโรคสมองเสื่อมสูง
ซึ่งมี 2 ประเภท คือ
เสื่อมแบบมีสาเหตุ
และเสื่อมแบบไม่มีสาเหตุ
แบบมีสาเหตุ เช่น
เกิดจากมีเนื้องอกในสมอง
ที่รักษา ได้จากการผ่าตัด หรือ
การขาดสารอาหารบางประเภท
เช่นวิตามินบี
ที่อยู่ในอาหารประเภทข้าวกล้อง
ข้าว เสริมวิตามิน ถั่วเขียว
ถั่วแดง หรือสารโฟเลท ที่จะพบใน
ผัก ผลไม้ และเครื่องในสัตว์
ทั้งนี้ผุ้ที่ดื่มเหล้า
หรือรับประทานอาหารมังสวิรัตินาน
10 ปีขึ้นไป
มีโอกาสเสี่ยงต่อการเป็นโรคสมองเสื่อม
เนื่องจากร่างกายได้รับวิตามิน
หรือสารอาหารไม่เพียงพอ
ซึ่งในปัจจุบันพบว่า
สถิติของผู้ป่วยโรคสมองเสื่อม
ในประชากรโลกมีอัตราสูงถึง 5 8%
และในประเทศไทยพบว่า
มีประชากรอายุเกิน 60 ปี ถึง 1.4
ล้านคน ซึ่งคิดเป็น 7.1%
ของจำนวนประชากรในประเทศไทย
7.สมุนไพร
: ใช้โด๊ป
ตำรายาไทยระบุยาที่มีสรรพคุณบำรุงสมรรถภาพทางเพศ
ทั้งในรูปยาตำรับ
และยาเดี่ยวไว้มากมาย
แต่ที่มีการ
วิจัยทางวิทยาศาสตร์แล้วมีฤทธิ์เพิ่มสมรรถภาพทางเพศได้จริงมีไม่กี่ชนิด
เช่น
กระเทียม
โดยทั่วไปนิยมรับประทานในรูปอาหาร
และยา โดยเฉพาะกระเทียมโทน
นิยมนำมาดองน้ำผึ้งรับ
ประทานเป็นยาบำรุงร่างกาย
และบำรุงกำลังทางเพศ
นอกจากระบุไว้ในตำราไทยแล้ว
สรรพคุณกระเทียมใน
การเป็นยาบำรุงกำลังทางเพศ
ก็มีระบุไว้ในตำราต่างประเทศด้วย
เคยมีการทดลองใช้สารสกัดกระเทียมด้วยแอลกอฮอล์
95%ในหนูตะเภา
พบว่าเมื่อใช้ในขนาด 4-10 มก./ก.ก.
จะกระตุ้นมดลูกและมีฤทธิ์คล้ายฮอร์โมนเอสโตรเจน
และเมื่อใช้สารสกัดกระเทียมด้วยน้ำกับหนูทดลองตัวผู้
ในขนาด 100 มก./ก.ก./วัน
พบว่ามีฤทธิ์เป็นยากระตุ้นกำหนัด
ในการทดลองกับคน
เมื่อให้กินสารสกัดกระ
เทียมด้วยน้ำร้อน
พบว่าสามารถกระตุ้นกำหนัดได้เช่นกัน
มีผู้ให้ความเห็นว่า
กระเทียมกระตุ้นกำหนัดได้
เนื่อง
จากทำให้มีการเพิ่มจำนวนอสุจิ
และเพิ่มน้ำหนักของ Seminal Vesical
หรืออาจเนื่องจากกระเทียมทำให้
เส้นเลือดขยายตัว
กวาวเครือ
นิยมนำหัวกวาวเครือขาวมาตากแห้ง
บดรับประทานกับน้ำผึ้ง
เป็นยาอายุวัฒนะ บำรุงกำลัง
บำรุง เต้านมให้เต่งตึง
ทำให้อวัยวะสืบพันธ์
และมดลูกขยายตัว
มีเลือดมาเลี้ยงมากขึ้น
บำรุงสุขภาพให้สมบูรณ์ บำ
รุงกำหนัด
และช่วยให้ผมดำไม่หงอก
และสารที่สำคัญในกวาวเครือ คือ
Miroestrol, Peurarin และ Mirificin เป็นสารจำพวก
Phytoestrogen
มีฤทธิ์คล้ายฮอร์โมนเอสโตรเจนในเพศหญิง
และยังพบ B- stigmasterol และ genistein ด้วย
ส่วนกวาวเครือแดงยังมีงานวิจัยไม่มากนัก
แต่พบว่ามีสารจำพวก Phytoandrogen
ออกฤทธิ์คล้ายฮอร์โมนเพศชาย
จึงอาจมีผลเพิ่มสมรรถภาพให้เพศชายได้
แต่สถาบันการ แพทย์แผนไทย
เตือนว่าการนำกวาวเครือทั้งสองชนิดมาใช้เพื่อเพิ่มสมรรถภาพทางเพศอาจเป็นอันตรายได้
เพราะยังมีงานวิจัยไม่มากนักจึงควรรองานวิจัยก่อน
กระชาย
ในราก
และเหง้ามีน้ำมันหอมระเหยใช้เป็นยาแก้ท้องอืด
ท้องเฟ้อ บำรุงกำลัง บำรุงธาตุ
เป็นยาอายุ วัฒนะ และบำรุงกำหนัด
ซึ่งจากการทดลองพบว่า
ช่วยกระตุ้นกำหนัด
และเมื่อนำเหง้ากระชายมาต้มน้ำดื่ม
แทนน้ำชา
จะใช้รักษาอาการองคชาติตายด้านได้
ดีปลี
ในมอร็อคโค
มีการทดลองให้ผู้ชายรับประทานผลดีปลี
พบว่า
มีผลในการกระตุ้นกำหนัดได้ดี
สารสำคัญ
เป็นสารแอลคาลอยด์ที่มีรสเผ็ดร้อน
ชื่อ Piperin และน้ำมันหอมระเหย
นอกจากนี้ยังมีสมุนไพรอีกหลายตัว
ซึ่งตำรายาไทยระบุว่ามีสรรพคุณบำรุงกำลัง
แต่ยังไม่มีการวิจัยที่แน่นอน
ได้แก่ กระเจี๊ยบ โสมไทย เห็ดเพาะ
หมามุ่ย ฯลฯ
8.
ฮอร์โมนเพศชาย
ช่วยลดไขมันในร่างกาย
ผลการศึกษาล่าสุดระบุ
ฮอร์โมนเพศชาย
ช่วยลดไขมันในร่างกาย
และเสริมสร้างกล้ามเนื้อให้กับสตรีวัยทอง
อาจพลิกผันวิธีบำบัดใหม่ด้วยการให้
ฮอร์โมนเพศชาย
ผสมกับฮอร์โมนเพศหญิง
แทนการให้ฮอร์โมน
เพศหญิงเพียงอย่างเดียว
คณะวิจัยจากมหาวิทยาลัย
จอห์นอ ฮอปกินส์ ของสหรัฐ
เผยผลการศึกษาล่าสุดชี้ว่า
การเพิ่มฮอร์โมนเพศชาย
เพียงเล็กน้อย
ให้กับสตรีวัยหมดประจำเดือน
สามารถช่วยลดไขมัน ในร่างกาย
และเสริมสร้างกล้ามเนื้อ ให้กับ
สตรีวัยทองได้ ในปัจจุบัน
แพทย์จะให้ฮอร์โมนเพศหญิง
แก่สตรีวัยทอง
เพื่อลดอาการจับไข้
และภาวะจิตใจ หดหู่
ซึ่งเป็นผลข้างเคียง
จากการหมดประจำเดือน
อต่ยังไม่มีการสึกษา
ถึงผลกระทบของการลดระดับ
ฮอร์โมนชาย หรือแอนโดรเจน
ในร่างกายผู้หญิงมากนัก
ผลการทดลอง นาน 4 เดือน
ของคณะนักวิจัย จาก จอห์น
ฮอปกินส์
แสดงให้เห็นเป็นครั้งแรกว่า
วิธีรักษาด้วยการให้ฮอร์โมนเพศชาย
ควบคู่กันไปกับฮอร์โมน เพศหญิง
จะช่วยให้เนื้อเยื่อไขมันของสตรีวัยทอง
ลดขนาดลง 2% จาก 4% ส่วน
กล้ามเนื้อที่ลีบลงจะขยาย
ขนาดขึ้นจาก 4% เป็น 6%
ขณะที่ผู้หญิงที่ได้รับการบำบัด
โดยให้ฮอร์โมน
เพศหญิงเพียงอย่างเดียว
จะไม่มีการเปลี่ยนแปลงของร่างกายดังกล่าว
สำหรับผลข้างเคียง
ของการให้ฮอร์โน เพศชายนั้น
เอเดรียน
ด็อปส์หัวหน้าคณะนักวิยจากจอห์น
ออปกินส์ ชี้ว่า
ที่น่าเป็นห่วงที่สุด
คือการลดระดับ ของเอชดีแอล
หรือระดับคลอเลสเตอรอล
ที่เหมาะสม แต่กระทบต่อโรคหัวใจ
และหลอดเลือด หัวใจมีน้อยมาก
9.มะระขี้นก-ขมิ้นขจัดสาร
"ไดออกซิน"
น.พ.บรรจบ ชุณหสวัสดิกุล
เลขานุการ ชมรมอยู่เป็นร้อยปี
ชีวีเป็นสุข กล่าวว่า ประชาชน
อย่าตื่นเต้น เกินไป
โดยจากการพูดคุยกับ น.พ.ศิริวัฒน์
ทิพธราดล
รองเลขาธิการคณะกรรมการอาหารและยา
(อย.) พบว่า
ระดับไดออกซินที่ก่อโทษในร่างกาย
ต้องได้รับเกิน 0.001
ไมโครกรัมต่อน้ำหนักตัว 1
กิโลกรัม
ซึ่งถ้าร่างกายได้รับปริมาณ
ที่น้อยกว่านี้
จะไม่เกิดอันตราย
และระบบในร่างกาย
สลายสารเคมีนี้ได้ โดยเอนไซม์
จากตับ "
ตับเป็นโรงงานกำจัดสารพิษโรงใหญ่
ในร่างกาย เหมือนโรงงานกำจัดขยะ
สำหรับคนทั้งเมือง ถ้า
ร่างกายรับปริมาณไม่มาก
จะขจัดสารไดออกซินหรือสารก่อมะเร็งได้อยู่แล้ว
จึงสามารถ ฟื้นสภาพคืนได้ ตาม
หลักของธรรมชาติบำบัด
ถ้าหากหลีกเลี่ยงอาหารที่มีสารเคมีปนเปื้อนน้ำมัน
ที่ทอดหลายครั้ง ซึ่งมีสาร
อนุมูลอิสระ จากการทอดซ้ำ
เช่นเนื้อทอด กล้วยแขก บะหมี่ซอง
ปาท่องโก๋ โอกาสรับสาร
อนุมูลอิสระ จะน้อยลง
ผู้ที่ทำร้ายตับด้วยการดื่มเหล้าเบียร์
เครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์เป็นประจำ
พึงสังวรว่า
ได้ทำร้ายโรงกำจัดขยะ
กำจัดสารพิษของร่างกาย
การส่งเสริมการทำงานของตับ
ควรวดเครื่องดื่มประเภทนี้
และหันมากินผักสด ผลไม้
โดยเฉพาะผักพื้นบ้านไทย
ซึ่งมีสารขจัดสารอนุมูลอิสระ
หลีกเลี่ยงการกินอาหารต่างประเทศ
เลขานุการชมรมอยู้ร้ยปี
กล่าวด้วยว่า มีพืชผัก
หลายชนิดที่เสริมสร้าง
และกระตุ้นภูมิต้านทานของร่างกาย
สามารถป้องกัน การเกิดมะเร็งได้
เข่น มะระขี้นก มี map 30
มีฤทธิ์ในการเสริมภูมิต้านทานของร่างกาย
ป้องกันมะเร็ง
หากต้องการสรรคุณแบบนี้
ต้องกินมะระขี้นกสด
มีแพทย์บางคน นำเมล็ดมะระขี้นก
มาปั่นแล้วกรองน้ำ
มาสวนทวารผู้ติดเชื้อเอช ไอ วี
เพื่อกระตุ้นภูมิต้านทาน
พบว่าใช้ได้ผลจริง
นอกจากนี้
ยังมีขมิ้น
มีฤทธิ์ต้านสารอนุมูลอิสะดีกว่า
เมล็อองุ่นดึง 3 เท่า
ซึ่งต่างประเทศโฆษษาว่าต้องดื่มไวน์
ถึงจะได้สารต้านอนุมูลอิสระดังกล่าว
เมล็ดองุ่นมีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระมากกว่า
วิตามินอี ถึง 50 เท่า เพราะฉะนั้น
ขมิ้นชันของไทย
จึงมีฤทธิ์มากกว่า วิตามินอี ถึง
150 เท่า ในการต้านอนุมูลอิสระ
จึงมีการ
ส่งเสริมให้กินขมิ้นชัน ตอนเช้า 5
แคปซูล
หรือเป็นลูกกลอนก็จะช่วยกระตุ้นภูมิต้านทานได้
ขณะเดียวกัน
สำนักงานอาหารและยา ของสหรัฐ
(เอฟดีเอ) ได้ระงับการนำเข้าไข่
ผลิตภัณฑ์จากไข่ จากเบลเยียม
ฝรั่งเศส และเนเธอร์แลนด์
เป็นการชั่วคราว
เนื่องจากได้รับรายงานว่า ไข่
จาก 3 ประเทศ
อาจปนเปื้อนด้วยสารที่ก่อให้เกิดมะเร็ง
อย่างไรก็ตาม ในทางปฏิบัติแล้ว
สหรัฐไม่ได้นำเข้าไข่ หรือ ไก่
จากประเทศในกลุ่มอียูแต่อย่างใด